รวมวิธีย้ายมาอยู่อเมริกาแบบยาวๆ ใครที่กำลังวางผนไปอยู่ต่างประเทศ หรือ มีแฟนต่างประเทศ หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่าน โดยสาวผู้ใช้เฟชบุ๊กท่านหนึ่ง โพสต์วิธีการย้ายไปอยู่อเมริกา แบบถูกกฎหมาย ขั้นตอนเป็นอย่างไรบ้าง วันนี้เรานำมาให้ท่านได้ศึกษา โดยเธอระบุว่า
มีคนหลังไมค์มาถามเรื่อยๆ แถมรัฐบาลป๋าไบเดนก็มีนโยบายต้อนรับ Immigration กันลึ่มๆ ถือเป็นโอกาสดีสำหรับคนที่สนใจจะย้ายมา เลยขอรวบรวมวิธีย้ายมาอยู่อเมริกาแบบยาวยาว ยาววววยันเป็น Citizen เป็นวิธีที่ถูกกฎหมายนะคะ ในส่วนที่ผิดกฎหมายขอไม่พูดถึงนะ
1. Green card Lotto วิธีที่ใช้งบน้อยสุดสำหรับสายมู มันฟรีนะคะ ใครบอกเสียตังคือ Scam นะ เคยแนะนำไปเมื่อปีที่แล้ว มันคือการลงชื่อแล้วลุ้นเอาว่าคุณจะได้กรีนการ์ดมั้ย ส่วนใหญ่จะเปิดให้ลงชื่อช่วงกันยา-ตุลา ของทุกปี ประกาศผลทางอีเมลช่วงพฤษภาปีถัดไป ถ้าโชคดีก็ได้กรีนการ์ดอยู่ยาวไปเลย แถมพามาได้ทั้งครอบครัว หากสนใจจิ้มลิ้งค์นี้ค่ะhttps://dvprogram.state.gov/
2. วีซ่าคู่หมั้น – คู่สมรส (K – CR) วิธีนี้จะเรียกว่าง่ายก็ไม่ง่าย จะเรียกยากก็ไม่ยาก เอาเป็นว่าไม่ว่าคุณจะพบรักกันแบบใดก็แล้วแต่ ถ้าหากคุณสามารถทำให้แฟนของคุณที่เป็น Citizen ตกลงปลงใจจดทะเบียนสมรสที่อเมริกากับคุณได้แล้ว คุณก็จะขอวีซ่า K มาที่อเมริกาได้ พอคุณจดทะเบียนเสร็จก็จะได้วีซ่าคู่สมรส CR เพื่อที่จะขอกรีนการ์ด 2 ปี (หากวีซ่าผ่าน) หลังจากนั้นถ้าคุณยังครองรักกันอยู่ คุณก็สามารถขอให้เขาทำกรีนการ์ด 10 ปีให้คุณได้ (ระหว่าง 10 ปีเนี่ยส่วนใหญ่ก็จะขอ Citizen ไปเลย คนที่อยู่ในอเมริกาอย่างถูกกฎหมายเกิน 5 ปี จะขอ Citizen ได้ค่ะ) แต่วิธีนี้ตอนขอวีซ่า คุณต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าคู่คุณรักกันจริงไม่จกตา เพราะมีการจดทะเบียนสมรสหลอกกันเยอะมากกก และมันผิดกฎหมาย อย่าคิดว่าคุณแต่งหลอกๆ กันไปแล้ว เขาจะไม่มาตรวจสอบนะ รัฐบาลมีสิทธิ์ตรวจสอบคู่คุณเมื่อไหร่ก็ได้ หากเขาพบว่าคู่คุณมีกลิ่นตุๆ เหมือนไม่ได้รักกันจริง หมายศาลมาถึงบ้านเลยจ้า** ถ้าแต่งกับคนที่ถือกรีนการ์ดก็จะได้กรีนการ์ดด้วยกันไปเลยค่ะ ไม่ต้องผ่านวีซ่า K
3. วีซ่านักเรียน (F)หากมีทุนทรัพย์ระดับนึง ก็สามารถขอวีซ่านักเรียนมาได้ ไม่ว่าจะมาเรียนภาษาระยะสั้น หรือเรียนปริญญา ซึ่งมันจะมีความต่างตรงนี้
– เรียนภาษาระยะสั้น จะไม่มีสิทธิ์เป็น Citizen ได้ ถ้าคุณไม่ไปหา Citizen แต่งงานให้ได้วีซ่าคู่สมรส แต่คุณก็สามารถต่อคอร์สได้เรื่อยๆ จนกว่าโรงเรียนจะไม่รับคุณแล้ว หรือเงินหมดนั่นแหละ
– เรียนปริญญา การสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาใดๆ พอคุณเรียนจบแล้วคุณจะได้ OPT คือสามารถหางานทำในอเมริกาตามสายงานที่คุณจบได้ 1 ปี หรือถ้าสายอาชีพคุณเป็นที่ต้องการในอเมริกา คือพวกที่เรียนด้าน
S-science
T-technology
E-engineering
M-mathamatics
คุณจะได้ STEM ต่ออีก 2 ปี เป็นหางานได้ 3 ปี ณ จุดนี้ถ้าคุณได้ทำงานในบริษัทที่เขาสามารถออกวีซ่าทำงาน (H1B) ให้คุณได้ คุณก็มีหวังที่จะได้กรีนการ์ดอยู่อเมริกายาวๆ แต่ค่าเรียนปริญญาที่อเมริกาเริ่มต้นก็หลักล้าน เก็บตังวนไปค่ะ หรือถ้าคุณมีความสามารถ มหาลัยในอเมริกาเองก็มีทุนเรียนฟรีสำหรับนักเรียนต่างชาติเรื่อยๆ อันนี้ต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมเองนะคะ
** หลายคนอาจมองว่าก็มาวีซ่านักเรียน แล้วหางานทำในอเมริกา ได้เงินมาต่อคอร์สวนไป เอาจริงคนทำแบบนี้ก็เยอะค่ะ แต่มันผิดกฎหมายนะ วีซ่านักเรียนแบบต่อคอร์สไม่สามารถทำงานได้ในอเมริกา เพราะงั้นคุณก็จะหาได้แต่งานผิดกฎหมายที่ค่าแรงถูกๆ ถูกกว่าค่าแรงขั้นต่ำ เสี่ยงโดนจับ แล้วชีวิตก็จะวนไปแบบนั้น จนกว่าคุณจะหาทางถือวีซ่าอื่นได้ แต่ถ้ามาเรียนปริญญา จะสามารถทำงานในมหาลัยได้ เช่น ผู้ช่วยศาสตราจารย์ เป็นต้น
4. วีซ่าทำงาน (H1B) หากคุณสามารถสมัครงานใดๆ ในอเมริกาได้ คุณก็จะได้วีซ่า H1B อันนี้อธิบายง่าย แต่ในความเป็นจริงก็ยาก คือคุณต้องมีความสามารถจริงๆ ในระดับที่สู้กับคนจีน คนอินเดียได้ เพราะการหางานในอเมริกามันแข่งขันสูงมากกก วีซ่า H1B ขึ้นอยู่กับบริษัท เขาสามารถต่อให้คุณได้เรื่อยๆ ตราบที่ยังจ้างงานคุณอยู่ และวีซ่านี้สามารถเอาไปสมัครกรีนการ์ดได้
5. วีซ่าทำงานในเครือ (L) อันนี้เหมือนวีซ่าทำงาน แต่เริ่มต้นต่างกัน คือถ้าคุณทำงานในบริษัทในเครืออเมริกา แต่สาขาที่ไทย แล้วความสามารถของคุณเด่นมากๆ จนสาขาใหญ่เขาต้องการตัวคุณมาอยู่ที่อเมริกาเลย คุณก็จะได้วีซ่านี้ และสามารถขอกรีนการ์ดได้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น คุณทำงานในบริษัท Google สาขาประเทศไทย แล้วคุณเก่งจน Google ที่อเมริกาเขาต้องการคุณ เขาก็จะออกวีซ่านี้เชิญคุณมา
6. วีซ่านักลงทุน (E) วีซ่าคนรวยจ้าา คือเอาเงินมาลงทุนเปิดธุรกิจที่อเมริกา จำนวนเงินเท่าไหร่ขึ้นอยู่กับธุรกิจ แต่ขั้นต่ำที่ต้องเตรียมไว้คือ $100,000 หรือ 3 ล้านบาท (นี่คือขั้นต่ำนะ ได้ข่าวว่าล่าสุดเรียกที่ $250,000 หรือ 7.5 ล้าน) ก็ไม่มีอะไรมาก เอาเงินมา ได้วีซ่าไป แล้วก็ต้องถือหุ้นในธุรกิจนั้นๆ ขั้นต่ำ 50% อันนี้คือแค่ค่าวีซ่านะ ไม่ใช่ค่าลงทุนทางธุรกิจอีก ค่าที่ ค่าแรง พวกนั้นคุณก็ต้องหาเพิ่มเอง คือต้องรวยมากอะอันนี้ ส่วนใหญ่คนไทยมาลงทุนก็เปิดร้านอาหารไทย ร้านนวด ราวๆ นี้แหละ
แต่ลำพังวีซ่า E ไม่สามารถขอกรีนการ์ดได้ คุณต้องไปอัพเกรดความรวยของตัวเองด้วยการลงทุนในธุรกิจให้ได้ถึง $1.8M (54 ล้านบาท) หรือลงทุนในบริษัทที่รัฐบาลกำหนด $900,000 (27 ล้านบาท) คุณถึงจะขอวีซ่า EB5 ที่นำไปสู่กรีนการ์ดและ Citizen ได้ รวยจัดๆ ไปเลยจ้า
7. วีซ่าแรงงานของนักลงทุน (E2)อันนี้พ่วงกับวีซ่าข้างบน คือเวลานักลงทุนมาเปิดธุรกิจในอเมริกา สามารถพาแรงงานมาได้ด้วยจำนวนนึง ซึ่งข้อกำจัดคือต้องเป็นสัญชาติเดียวกับนักลงทุน ส่วนใหญ่ก็จะเป็น นักลงทุนมาเปิดร้านอาหารไทย แล้วก็ให้วีซ่า E แก่เชฟไทย เพื่อให้ขึ้นมาทำงานที่อเมริกาได้ ซึ่งวีซ่านี้ไม่ได้ยึดติดกับร้านนะ ถ้าเจ้านายคุณไม่โอ คุณก็สามารถหาเจ้านายใหม่ได้เช่นกัน ในขณะเดียวกัน ก็เป็นวีซ่าที่โดนหลอกได้ง่ายมากๆ ใครมายื่นข้อเสนอทำนองนี้ให้ ก็ตรวจเอกสารดีๆ ก่อนตอบตกลงนะ
** วีซ่านี้ต้องต่อทุก 5 ปีนะคะ ไม่สามารถขอกรีนการ์ดได้ แต่ก็สามารถใช้วิธีแต่งงานกับ Citizen, หางานใหม่ที่บริษัทออกกรีนการ์ดให้, ขอวีซ่า EB[ads]
8. วีซ่าผู้เชี่ยวชาญ (O) อันนี้คือยากสุด คือต้องเก่งจริง เก่งเว่อร์ เก่งแบบมีงานวิจัยระดับโลก มีงานวิจัยที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ เป็นอันดับต้นๆ ของประเทศในสาขาที่คุณทำงานอยู่ หรือเป็นคนที่ระดับโลกแย่งตัว เป็นนักกีฬาก็คือต้องระดับเหรียญทองโอลิมปิก เป็นนักวิทยาศาสตร์ก็ต้องระดับได้รางวัลโนเบล แล้วคุณก็จะมีสิทธิ์ขอวีซ่านี้ได้
พอมาด้วยวีซ่านี้ ก็ทำเรื่องขอกรีนการ์ดผู้เชี่ยวชาญ EB1, EB2, EB3 ต่อได้เลย เลขห้อยคือระดับความต้องการของตลาด EB1 คือสาขาที่คุณเชี่ยวชาญมันต้องการมาก ก็จะได้กรีนการ์ดเร็วกว่าอันอื่น
9. วีซ่าผู้ติดตามต่างๆคือสามี, ภรรยา ได้วีซ่าใดๆ ข้างบน แล้วเราจะมาอยู่กับเขาด้วย เราก็จะได้วีซ่าห้อย เช่น สามีมา F1 เราก็จะได้ F2 มา H1B ก็จะได้ H4 ทำนองนี้ วีซ่านี้ไม่มีอะไรเลย แค่ต้องห้อยเขาไปจนกว่าจะได้กรีนการ์ดเป็นของตัวเองอันนี้คือคร่าวๆ เท่าที่เรารู้มา อาจจะมีวีซ่าอื่นอีกก็ได้ ใครมีข้อมูลเพิ่มสามารถเอามา Discuss กันได้นะคะ ส่วนตัวเรามาด้วยวีซ่า F2 ก่อนจะได้ H4 และกรีนการ์ดตามลำดับ ห้อยสามีมาค่ะ 555เราไม่ได้พูดถึงวีซ่านักเรียนทุน (J) เพราะส่วนใหญ่มาเรียนฟรีก็จริงแต่ต้องกลับไปใช้ทุนที่ไทยค่ะ มันขัดกับการได้อยู่อเมริกายาวๆ
และเธอยังบอกความารู้สึกส่วนว่า การมาอยู่อเมริกามันไม่ได้สวยงามไปซะทุกเรื่อง การจากบ้านมาแดนไกล ความเหงา ความโดดเดี่ยว การแข่งขัน การดิ้นรน ปัญหาต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้นได้กับทุกคน เราไม่เคยเจอคนรู้จักในอเมริกาคนไหนที่ไม่มีปัญหาเลย ทุกคนฟันฝ่าอุปสรรคมาทั้งนั้น เพียงแต่ว่ามาแล้วจะคุ้มรึเปล่า คุณก็ต้องตัดสินใจเองนะคะ นี่แหละค่ะ เรียกว่าประสบการณ์ชีวิต
ขอขอบคุณที่มาจาก: Pawarat Mim Vesdapunt